สาส์นของพระสันตะปาปาฟรังซิสสำหรับวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 26

มารดาแห่งพระศาสนจักร: “นี่แน่ะ ลูกของแม่.. นี่แน่ะ แม่ของเจ้า”

และจากบัดนั้นเป็นต้นมาศิษย์คนนั้นนำพระมารดาไปอยู่กับตน”

วันที่ 11 ธันวาคม 2017

 

มารดาแห่งพระศาสนจักร<<”นี่แน่ะ ลูกของแม่ ... นี่แน่ะ  แม่ของเจ้า” และนับแต่นั้นเป็นต้นไปศิษย์คนนั้นก็พาพระแม่ไปอยู่ที่บ้านตน”>> จากพระวรสารโดยนักบุญยอห์น นี่เป็นหัวข้อแห่งสาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสสำหรับวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 26 ที่เราจะทำการเฉลิมฉลองกันในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระแห่งเมืองลูร์ด

        ต่อไปนี้คือสาส์นฉบับเต็มซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาทรงลงพระนามเมื่อ วันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันสมโภชพระคริสตกษัตริย์

 

มารดาแห่งพระศาสนจักร  “นี่แน่ะ ลูกของแม่ ... นี่แน่ะ แม่ของเจ้า”

และจากนั้นเป็นต้นไปศิษย์ก็นำพระมารดาไปอยู่กับตน (ยน. 19: 26-27)

 

พี่น้องชายหญิงที่รัก

        การรับใช้ของพระศาสนจักรต่อผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยต้องฟื้นฟูความเข้มแข็งและความซื่อสัตย์ต่อไปตามพระบัญชาของพระเยซูคริสตเจ้า (เทียบ ลก. 9: 2-6; มธ. 10: 1-8; มก. 6: 7-13) พร้อมกับเลียนแบบฉบับของพระอาจารย์ผู้ทรงมีพระบัญชานี้

        หัวข้อวันผู้ป่วยสากลปีนี้ที่ได้มาจากพระดำรัสที่พระเยซูเจ้าตรัสจากไม้กางเขนต่อพระนางมารีย์มารดาของตนและต่อยอห์น: “สตรีเอ๋ย นี่คือลูกของท่าน ... นี่แน่ะ แม่ของเจ้า และจากนั้นเป็นต้นไปศิษย์ก็รับพระนางไปอยู่ที่บ้านตน” (ยน. 19: 26-27)

1. พระวาจาของพระคริสตเจ้าส่องสว่างพระธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขนอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ได้หมายถึงวิบัติกรรมที่สิ้นหวัง แต่กลับตรงกันข้าม กลับกลายเป็นสถานที่ซึ่งพระองค์แสดงพระสิริมงคลและความรักของพระองค์จนถึงที่สุด แล้วความรักดังกล่าวก็กลายเป็นพื้นฐานและกฎเกณฑ์สำหรับชุมชนคริสตชนและชีวิตของศิษย์แต่ละคน

ก่อนอื่นใดพระวาจาของพระเยซูคริสต์คือบ่อเกิดแห่งกระแสเรียกของแม่พระเพื่อมนุษยชาติทั้งปวง ที่เป็นพิเศษคือพระแม่มารีย์จะทรงเป็นมารดาศิษย์แห่งพระบุตรของพระแม่ คอยดูแลเอาใจใส่พวกเขาและการเดินทางตลอดชีวิตของพวกเขา ดังที่เราทราบความเอาใจใส่ของแม่ต่อบุตรทั้งด้านจิตและด้านวัตถุต่อการเจริญเติบโตจนตลอดชีวิต

ความเจ็บปวดที่สุดแสนจะพรรณาบนไม้กางเขนทิ่มแทงดวงวิญญาณของพระแม่มารีย์ (เทียบ ลก. 2: 35) มิได้ทำให้พระแม่พิการ แต่กลับตรงกันข้าม ในฐานะที่ทรงเป็นมารดาของพระคริสตเจ้า หนทางใหม่แห่งการอุทิศตนเองได้ถูกเปิดออกต่อหน้าพระแม่  บนไม้กางเขนพระเยซูทรงแสดงความห่วงใยต่อพระศาสนจักรและมนุษยชาติ พระแม่ถูกเรียกให้แบ่งปันความห่วงใยดังกล่าวด้วย  ในการกล่าวถึงการเสด็จมาของพระจิตในวันเปนเตกอส (Pentecost) หนังสือกิจการของอัครสาวกแสดงให้เราเห็นว่าแม่พระทรงเริ่มมีบทบาทในชุมชนคริสตชนแรกๆของพระศาสนจักร  ซึ่งเป็นบทบาทที่ยังดำเนินต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด

2. ยอห์นศิษย์รักคือรูปแบบของพระศาสนจักรซึ่งเป็นประชากรของพระผู้ไถ่  ยอห์นคงรับว่าแม่พระเป็นมารดาของตน  ในการกระทำดังกล่าวถึงเรียกร้องให้นำแม่พระไปอยู่กับเขาที่บ้านเพื่อที่พระแม่จะได้เป็นแบบฉบับแห่งความเป็นศิษย์  และให้เขาพิศเพ่งถึงกระแสเรียกแห่งความเป็นมารดาที่พระเยซูทรงมอบให้รวมถึงทุกสิ่งที่จะตามมา ทรงเป็นมารดาที่ให้กำเนิดบุตรมากมายซึ่งสามารถที่จะรักตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา  นี่เป็นเหตุผลที่กระแสเรียกแห่งการเป็นมารดาของแม่พระให้ดูแลบรรดาลูกจึงถูกมอบให้กับยอห์นและแก่พระศาสนจักรโดยรวม ชุมชนทั้งปวงแห่งศิษย์ล้วนรวมอยู่ในกระแสเรียกแห่งความเป็นมารดาของพระแม่มารีย์ ยอห์นผู้มีส่วนร่วมในทุกสิ่งกับพระเยซูคริสต์ทราบว่าพระอาจารย์ต้องการนำทุกคนให้ได้พบกับพระบิดาของพระองค์  เขาสามารถเป็นประจักษ์ต่อความจริงว่าพระเยซูไม่เพียงแต่ได้พบกับประชาชนจำนวนมากที่ทนทุกข์จากความเจ็บป่วยฝ่ายจิตเพราะความเย่อหยิ่งจองหอง (เทียบ ยน. 8: 31-39) และการเจ็บป่วยฝ่ายกายเท่านั้น (เทียบ ยน. 5: 6)  พระองค์ทรงประทานพระเมตตาและการให้อภัยทุกคน และทรงบำบัดคนป่วยให้เป็นดุจเครื่องหมายของชีวิตครบบริบูรณ์แห่งพระอาณาจักร ซึ่งพระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดให้แห้ง  เฉกเช่นพระแม่มารีย์ สานุศิษย์ถูกเรียกร้องให้เอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน แต่มิใช่แต่เพียงเท่านั้น  พวกเขารู้ว่าดวงใจของพระเยซูนั้นเปิดกว้างสู่ทุกคนโดยไม่ยกเว้นผู้ใด  พระวรสารแห่งพระอาณาจักรต้องถูกประกาศให้ทุกคน และความรักเมตตาแห่งคริสตชนต้องแผ่ไปยังทุกคน เพียงเพราะว่าพวกเขาเป็นบุคคล เป็นบุตรของพระเจ้า

3. กระแสเรียกเยี่ยงมารดาของพระศาสนจักรต่อคนที่เดือดร้อนและคนป่วยมีการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมตลอดระยะเวลาสองพันปีแห่งประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรซึ่งกระทำกิจกรรมที่น่าประทับใจมากมายเพื่อคนป่วย เราต้องไม่ลืมประวัติศาสตร์แห่งการเสียสละอุทิศตน ซึ่งยังสืบต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ทั่วโลก ในประเทศที่มีระบบการดูแลสาธารณสุขเพียงพอ งานของคณะนักบวชและสังฆมณฑลเป็นต้นโรงพยาบาลจะมุ่งไม่เพียงแต่จะให้การรักษาที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังจะเอาตัวมนุษย์เป็นศูนย์กลางในกระบวนการของการเยียวยารักษา ในขณะเดียวกันก็ทำการวิจัยค้นคว้าทางวิชาการที่เกี่ยวกับทั้งชีวิตมนุษย์ิและคุณค่าเชิงศีลธรรมของคริสตชน สำหรับประเทศที่ระบบสาธารณสุขยังมีไม่เพียงพอหรือยังไม่มี พระศาสนจักรพยายามทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้เพื่อยกมาตรฐานสาธารณสุข ขจัดอัตราการเสียชีวิตวัยทารก และป้องกันโรคระบาดต่างๆ  ทุกหนทุกแห่งพระศาสนจักรพยายามที่จะให้การดูแลรักษาแม้ในยามที่ตนไม่สามารถที่ให้ความช่วยเหลือได้  ภาพพจน์ของพระศาสนจักรคือการเป็น “โรงพยาบาลสนาม” ที่ให้การต้อนรับทุกคนที่ได้รับบาดแผลจากชีวิตเป็นความจริงที่เป็นรูปธรรม เพราะในบางภูมิภาคของโลก ธรรมทูตและโรงพยาบาลของสังฆมณฑลเป็นเพียงสถาบันเดียวที่ให้การพยาบาลดูแลประชาชน

4. เรื่องราวยาวนานแห่งประวัติศาสตร์ในการรับใช้คนป่วยนี้เป็นบ่อเกิดแห่งความชื่นชมยินดีในภาคส่วนแห่งชุมชนคริสตชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปัจจุบันที่มีผู้คนจำนวนมากดำเนินการในพันธกิจนี้  แต่เราควรมองไปยังอดีตเพื่อทำให้เรามั่งคั่ง  เราควรเรียนรู้จากบทเรียนที่สอนเราเกี่ยวกับความใจกว้างและการเสียสละของผู้ตั้งสถาบันเพื่อรับใช้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เราต้องขอบคุณความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความรักเมตตาของหลายคนตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา และอีกหลายๆคนที่ตั้งใจวิจัยค้นคว้าหาวิธีใหม่ๆเพื่อรักษาผู้ป่วย  ตำนานในอดีตสามารถช่วยเราให้มีอนาคตที่ดีกว่า เช่น การปกป้องโรงพยาบาลคาทอลิกมิให้มีจิตตารมณ์แห่งธุรกิจซึ่งเปลี่ยนการเยียวยารักษาโรคกลายเป็นกิจการที่แสวงหากำไรซึ่งลงเอยด้วยการไม่ให้ความสนใจกับคนยากจน  องค์กรที่ฉลาดและมีความรักเมตตาต้องมุ่งในจิตตารมณ์ว่า คนป่วยต้องได้รับความเคารพในศักดิ์ศรีของเขา ต้องเก็บเขาไว้ที่ศูนย์เพื่อผ่านกระบวนการเยียวยารักษา  สิ่งนี้ควรเป็นทัศนคติเดียวกันสำหรับผู้ที่ทำงานอยู่ในโครงสร้างสาธารณะ  อาศัยการรับใช้ของพวกเขา พวกเขาถูกเรียกร้องให้ต้องเป็นประจักษ์พยานที่มีความน่าเชื่อถือต่อพระวรสารด้วย

5. พระเยซูเจ้าทรงประทานอำนาจการเยียวยารักษาให้กับพระศาสนจักร “เครื่องหมายเหล่านี้จะมีอยู่กับผู้ที่มีความเชื่อ ... พวกเขาจะปกมือเหนือผู้ป่วยและพวกเขาจะหายจากโรค (มก. 16: 17-18) ในหนังสือกิจการอัครสาวก เราอ่านเรื่องการที่นักบุญเปโตรรักษาโรค (เทียบ กจ. 3: 4-8) และนักบุญเปาโล (เทียบ กจ. 14: 8-11)  พันธกิจของพระศาสนจักรเป็นการตอบสนองต่อพระพรของพระเยซูคริสต์เพราะพระศาสนจักรทราบดีว่าตนต้องนำคนป่วยให้อยู่ภายใต้การพิศเพ่งของพระองค์  ซึ่งเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและความเมตตาสงสาร พันธกิจการดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นงานที่มีความจำเป็นและเป็นพื้นฐานที่จะต้องกระทำด้วยความกระตือรือร้นที่เร่าร้อนอยู่เสมอจากทุกคนนับตั้งแต่ชุมชนวัดไปถึงสถาบันรักษาสุขภาพที่ใหญ่ที่สุด  เราไม่อาจมองข้ามความรักอันอบอุ่นและความเพียรทนของครอบครัวเป็นอันมากในการเอาใจใส่ดูแลผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังหรือเด็กพิการ พ่อแม่ และญาติ  การดูแลเอาใจใส่ภายในครอบครัวเป็นประจักษ์พยานพิเศษแห่งความรักต่อมนุษย์  จำเป็นต้องมีการยอมรับรู้และได้รับการสนับสนุนด้วยนโยบายที่เหมาะสม  นายแพทย์ พยาบาล พระสงฆ์ ผู้ถวายตัวชายหญิง อาสาสมัคร ครอบครัวและทุกคนที่ดูแลคนป่วยล้วนมีส่วนร่วมในพันธกิจนี้ของพระศาสนจักร  นี่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันซึ่งทำให้คุณค่าแห่งการรับใช้ประจำวันของแต่ละคนมีความมั่งคั่งยิ่งขึ้น

6. เราใคร่ขอฝากทุกคนที่เจ็บป่วยทางกายหรือจิตวิญญาณไว้กับพระแม่มารีย์ผู้ทรงเป็นมารดาที่อ่อนโยน เพื่อที่พระแม่จะช่วยให้พวกเขามีความหวัง เราวิงวอนพระแม่ได้โปรดช่วยเราให้ต้อนรับผู้ป่วยที่เป็นพี่น้องชายหญิงของเรา  พระศาสนจักรทราบว่าตนต้องการพระหรรษทานพิเศษเพื่อทำหน้าที่ตามพระวรสารในการรับใช้คนป่วย ขอให้คำภาวนาของเราต่อมารดาของพระเจ้าโปรดประทานให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันต่อคำขอร้องเสมอที่ขอให้สมาชิกทุกคนของพระศาสนจักรจะเจริญชีวิตในความรักต่อกระแสเรียกที่จะรับใช้ชีวิตและสุขภาพ  ขอพระแม่มารีย์พรหมจารีย์โปรดวิงวอนสำหรับวันผู้ป่วยสากลครั้งที่ 26 นี้  ขอพระแม่โปรดช่วยผู้ป่วยให้มีประสบการณ์ในความทุกข์โดยร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสตเจ้า  ขอพระแม่โปรดสนับสนุนให้กำลังใจแก่ผู้ที่ดูแลคนป่วย  ข้าพเจ้าขออวยพรทุกคน ทั้งคนป่วย คนดูแลคนป่วยและอาสาสมัครทุกคน

 

จาก นครรัฐวาติกัน  วันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017

วันสมโภชพระคริสตกษัตริย์แห่งสากลโลก

ฟรังซิส

 

แปลโดย...

มงซินญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์

รองเลขาธิการ คณะพระสังฆราชคาทอลิกฯ

ภาพรวมสถานการณ์เกษตรอินทรีย์ไทยปี 2559

 

เกษตรอินทรีย์ไทยในปี พ.ศ. 2559 ได้ขยายตัวต่อเนื่องอีกครั้ง โดยในปี 2558 มีการขยายตัวสูงถึง 21% ซึ่งการขยายตัวส่วนใหญ่เกิดขึ้นในส่วนของข้าวออร์แกนิค (28%) และพืชผสมผสาน (187%) ซึ่งถ้าดูย้อนหลังกลับไป 5 ปี เกษตรอินทรีย์ไทยมีการเจริญเติบโตเฉลี่ย 6.37% และ 10.14% เมื่อดูย้อนหลังกลับไป 10 ปี การขยายตัวของพื้นที่เกษตรอินทรีย์นี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการสำรวจข้อมูลที่ดีขึ้น และอีกส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยด้านนโยบายและตลาด ที่มีการยกเลิกนโยบายประกันราคาข้าวในช่วงต้นปี 2557 ซึ่งเริ่มทำให้ราคาข้าวเปลือกทั่วไปปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2559 ที่ราคาข้าวเปลือกน่าจะตกต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี ซึ่งน่าจะทำให้ในปี 2561 มีเกษตรกรที่ปลูกข้าวหันมาปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์มากขึ้น  ในขณะเดียวกัน ตลาดออร์แกนิคในประเทศและต่างประเทศก็ได้เหมือนจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขบวนการเกษตรอินทรีย์ไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างคึกคัก

ในส่วนของภาครัฐ ความพยายามในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (ที่สิ้นสุดลงตั้งแต่ปี 2554) ก็ยังไม่ได้มีความคืบหน้าแต่อย่างใด  แต่แม้ว่า การปราศจากแผนดังกล่าวแทบจะไม่ได้มีผลต่อการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ ทั้งนี้ก็เพราะเกษตรอินทรีย์ไทยขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนและประชาสังคมเป็นหลัก ตราบใดที่ภาคเอกชนและประชาสังคมยังมีความพร้อมและความเข้มแข็ง เกษตรอินทรีย์ไทยก็ยังคงขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่อง  สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากกว่าก็คือ บรรยากาศ/สภาพแวดล้อมทางนโยบาย เช่น ความพยายามผลักดันให้มีการอนุญาตทดลองปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรมในช่วงปลายปี 2558, การตรวจพบการปนเปื้อนสารเคมีการเกษตรในสินค้าเกษตรทั่วไป (เกษตรดีที่เหมาะสม - GAP) และเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับการตรวจรับรองมาตรฐานโดยหน่วยงานภาครัฐ, การจัดทำร่างข้อกำหนดมาตรฐานบังคับฉลากเกษตรอินทรีย์  ปัจจัยเหล่านี้ค่อนข้างจะส่งผลคุกคามต่อการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในประเทศค่อนข้างมาก

การผลิตเกษตรอินทรีย์ไทย
จากการสำรวจข้อมูลโดยมูลนิธิสายใยแผ่นดิน/กรีนเนท1 พื้นที่การผลิตเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 235,523.35 ไร่ ในปี พ.ศ. 2557 เป็น 284,918.44 ไร่ ในปี พ.ศ. 2558 (เพิ่มขึ้น 20.97%)

ในส่วนของจำนวนฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในช่วงเวลาดังกล่าวก็ขยับเพิ่มขึ้นจาก 9,961 ฟาร์มในปี พ.ศ. 2557 เป็น 13,154 ฟาร์ม ในปี พ.ศ. 2558

  
 

ตลาดเกษตรอินทรีย์ไทย
หลังจากที่ที่สำนักงานปลัด กระทรวงพาณิชย์ ได้สนับสนุนให้มีการศึกษาตลาดออร์แกนิคในประเทศไทยในปี 2557 (รายงานเผยแพร่ในปลายปี 2558 ดาวน์โหลดรายงาน) ก็ยังไม่ได้มีการสำรวจตลาดอีก ทำให้ไม่มีข้อมูลใหม่เกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดเกษตรอินทรีย์ไทย


ในรายงานการศึกษาตลาดพบว่า ตลาดสินค้าออร์แกนิคไทยในปี 2557 มีมูลค่ารวม 2,331.55 ล้านบาท โดย 1,187.10 ล้านบาทเป็นตลาดส่งออก (77.9%) และ 514.45 ล้านบาทเป็นตลาดในประเทศ (22.06%) โดยช่องทางตลาดออร์แกนิคในประเทศที่ใหญ่ที่สุด คือ โมเดิร์นเทรด (59.48%) รองลงมาคือ ร้านกรีน (29.47%) และร้านอาหาร (5.85%)  โดยการส่งออกนั้น ในปี 2557 ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเป็นสินค้าออร์แกนิคส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยมีมูลค่าสูงถึง 1,201.00 ล้านบาท/ปี (66.1%) รองลงมาคือ ข้าว ออร์แกนิค ซึ่งมีมูลค่าส่งออกราว 552.25 ล้านบาท (30.4%) โดยตลาดออร์แกนิคในภูมิภาคยุโรปเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดในทุกหมวดสินค้า รองลงมาคือ อเมริกาเหนือ ส่วนตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและอาเซียน เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ  ส่วนตลาดออร์แกนิคในรประเทศไทยมีจุดจำหน่ายปลีก (sale point) สินค้าออร์แกนิคประมาณ 251 แห่ง โดยช่องทางของโมเดิร์นเทรด ซึ่งมีอยู่ 8 บริษัท 171 จุดจำหน่าย เป็นช่องทางที่มีจำนวนมากที่สุด มีสินค้าออร์แกนิค 150 – 1,500 รายการในจุดจำหน่าย มีมูลค่าการขายรวม 306 ล้านบาท/ปี  รองลงมาคือช่องทางร้านกรีน ซึ่งมีจุดจำหน่าย 33 แห่ง มีรายการสินค้าออร์แกนิคเฉลี่ย 229 รายการ มียอดขายรวม 151.62 ล้านบา/ปี

นอกจากข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับตลาดเกษตรอินทรีย์ไทยแล้ว ผลการศึกษาอีกเรื่องที่น่าสนใจมากก็คือ ระดับการรับรู้และความเข้าใจของผู้บริโภค  ผู้บริโภคในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเคยได้ยินเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ (92% ที่สุ่มสัมภาษณ์ทั่วประเทศ) แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความเข้าใจเกษตรอินทรีย์อย่างไม่ถูกต้อง (มีผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเพียง 10.9% และผู้บริโภคทั่วประเทศเพียง 6.51% ที่เข้าใจเกษตรอินทรีย์ถูกต้อง ที่สามารถตอบคำถามความเข้าใจเรื่องเกษตรอินทรีย์ถูกเกินครึ่งหนึ่งของคำถาม)  ประเด็นปัญหาที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีเข้าใจคลาดเคลื่อนและเข้าใจผิดพลาด คือ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เหมือนกันกับมาตรฐานปลอดภัยจากสารพิษ ผักอนามัย ผักปลอดสารพิษ, พืชไฮโดรโปนิคเป็นเกษตรอินทรีย์, โลโก้ Q เป็นโลโก้ของสินค้ารับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์, และเกษตรอินทรีย์อนุญาตให้ใช้จีเอ็มโอ

ที่มา http://www.greennet.or.th/article/411

บทความ
ความเมตตาที่ชายขอบ เขียนโดย ดินเหนียว
 
 
 
 
 

 

แนวคิดการพัฒนาเพื่อพึ่งตนเองของเกษตรกรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (Self Reliance)

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

 

แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการส่งเสริมชุมชนหรือการพัฒนาชนบทที่สำคัญๆ คือ การที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนา คือ การที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนาให้เกิดการพึ่งตนเองได้ของคนในชนบทเป็นหลัก  กิจกรรมและโครงการตามแนวพระราชดำริที่ดำเนินการอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศในปัจจุบันนั้นล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การพึ่งตนเองได้ของราษฎรทั้งสิ้น

ในการพัฒนาทั้งด้านอาชีพและส่งเสริมการเกษตร ให้เกษตรกรสามารดำรงชีพอยู่ได้อย่างมั่นคงเป็นปึกแผ่นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการแนะนำสาธิตให้ประชาชนดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทเป็นไปตามหลักการพัฒนาสังคมชุมชนอย่างแท้จริง กล่าวคือ ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนาให้เกิดการพึ่งตนเองได้ของคนในชนบทเป็นหลัก

ดังนั้น การที่ราษฎรในชนบทสามารถพึ่งตนเองได้มากยิ่งขึ้นนั้น สืบเนื่องจากแนวพระราชดำริด้านการพัฒนาที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานแก่เกษตรกรทั้งหลายประการ

วิธีการพัฒนา

1.  ทรงยึดหลักที่ไม่ใช้วิธีการสั่งการให้เกษตรกรปฏิบัติตาม  เพราะไม่อาจช่วยให้คนเหล่านั้นพึ่งตนเองได้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติงานโดยไม่ได้เกิดจากความพึงใจ ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

..ดำริ คือ ความเห็นที่จะทำ  ไม่ใช่คำสั่งแต่มันเป็นความเห็น มีทฤษฎีอะไรต้องบอกออกมา ฟังได้ฟัง ชอบใจก็เอาไปได้ ใครไม่ชอบก็ไม่เป็นไร...

2.  ทรงเน้นให้พึ่งตนเองและช่วยเหลือตนเองเป็นหลักสำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมักจะทรงทำหน้าที่กระตุ้นให้เกษตรกรทั้งหลายคิดหาลู่ทางที่จะช่วยตนเอง พึ่งตนเองโดยไม่มีการบังคับการแสวงหาความร่วมมือจากภายนอกต้องกระทำเมื่อจำเป็นจริงๆ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ว่า

...คนทุกคน  ไม่ว่าชาวกรุงหรือชาวชนบทไม่ว่ามีการศึกษามากหรือน้อยอย่างไร ย่อมมีจิตใจเป็นอิสระ มีความคิดเห็น มีความพอใจ เป็นของตนเอง ไม่ชอบการบังคับ นอกจากนั้นยังมีขนบธรรมเนียม มีแบบแผนเฉพาะเหล่ากันอีกด้วย...

3.  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation)  เป็นจุดหลักสำคัญในการพัฒนาตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยการดำเนินการเช่นนั้น จักช่วยให้ประชาชนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุด  ดังเคยมีพระราชดำรัสในอากาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2501 กับประชาชนชาวไทยทั้งหลายว่า

...ภาระในการบริหารนั้นจะประสบผลด้วยดีย่อมต้องอาศัยความรักชาติ ความซื่อสัตย์สุจริต ความสมัครสมานกลมเกลียวกัน ประกอบกับการร่วมมือของประชาชนพลเมืองทั่วไป ข้าพเจ้าจึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะพยายามปฏิบัติกรณียกิจในส่วนของแต่ละท่านด้วยใจบริสุทธิ์  โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้เพื่อได้มาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนทั่วไปอันเป็นยอดปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น...

4.  หลักสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการแนะนำประชาชนเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือ ทรงใช้หลักประชาธิปไตยในการดำเนินการ เห็นได้ชัดเจนในทุกคราที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนประชาชนและเกษตรกรร้องทุกข์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น  หากเจ้าหน้าที่ทักท้วงสิ่งใดทางวิชาการ กราบบังคมทูลแล้วก็ทรงรับฟังข้อสรุปอย่างเป็นกลาง หากสิ่งใดที่เจ้าหน้าที่กราบบังคมทูลว่าปฏิบัติได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงให้เปลี่ยนแปลงโครงการได้เสมอ เห็นได้ชัดเจนจากพระราชดำรัสศูนย์ศึกาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริว่า

...เป็นสถานที่ที่ผู้ทำงานในด้านพัฒนาจะไปทำอะไรอย่างที่เรียกว่า ทดลอง ก็ได้ และเมื่อทดลองแล้วจะทำให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในวิชานั้นสามารถเข้าใจว่าเขาทำกันอย่างไรเขาทำอะไรกัน...

ได้พระราชทานพระราชาธิบายเพิ่มเติมอีกว่า

...ฉะนั้นศูนย์ศึกษาการพัฒนานี้ ถ้าทำอะไรล้มเหลวต้องไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องถูกลงโทษ แต่เป็นสิ่งที่แสดงว่าทำอย่างนั้นไม่เกิดผล...

5.  ทรงยึดหลักสภาพของท้องถิ่นเป็นแนวทางในการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้งด้านสภาพแวดล้อม ทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ของแต่ละท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เพราะทรงตระหนักดีกว่าการเปลี่ยนแปลงใดที่ดำเนินการโดยฉับพลันอาจก่อผลกระทบต่อค่านิยม ความคุ้นเคย และการดำรงชีพในวิถีประชาเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงพระราชทานแนวคิดเรื่องนี้ว่า

...การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศของภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศของสังคมวิทยาคือ นิสัยใจคอของคนเราจะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วเราเข้าไปดูว่า เขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง...

6.  พระราชดำริที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การสร้างความแข็งแรงให้ชุมชน ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักที่จำเป็นต่อการผลิต อันจะเป็นรากฐานนำไปสู่การพึ่งตนเองได้ในระยะยาว โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คือ แหล่งน้ำ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำฝนจักได้มีโอกาสที่จะมีผลิตผลได้ตลอดปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะทำให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ในเรื่องอาหารได้ระดับหนึ่ง และเมื่อชุมชนแข็งแรงพร้อมดีแล้ว ก็อาจจะมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการยกระดับรายได้ของชุมชน เช่น เส้นทางคมนาคม ฯลฯ ซึ่งการพัฒนาในลักษณะที่เป็นการมุ่งเตรียมชุมชนให้พร้อมต่อการติ่ดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างเป็นขั้นตอนนี้ทรงเรียกว่า การระเบิดจากข้างใน ซึ่งเรื่องนี้พระองค์ทรงอธิบายว่า

...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้นตอน ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อนโดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจชั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับ...

วิธีการพัฒนาเพื่อให้เกิดการพึ่งตนเองได้นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้แนะว่าควรจะต้องค่อยๆ กระทำตามลำดับขั้นตอนต่อไป ไม่ควรกระทำด้วยความเร่งรีบซึ่งอาจจะเกิดความเสียหายได้ ดังที่รับสั่งกับนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 ว่า

...ในการสร้างความเจริญก้าวหน้านี้ ควรอย่างยิ่งที่จะค่อยสร้างค่อยเสริมทีละเล็กละน้อยให้เป็นลำดับ ให้เป็นการทำไปพิจารณาไป และปรับปรุงไป ไม่ทำด้วยอาการเร่งรีบตามความกระหายที่จะสร้างของใหม่เพื่อความแปลกใหม่ เพราะความจริงสิ่งที่ใหม่แท้ๆ นั้นไม่มี สิ่งใหม่ทั้งปวงย่อมสืบเนื่องมาจากสิ่งเก่าและต่อไปย่อมจะต้องกลายเป็นสิ่งเก่า...

พร้อมกันนี้ในเรื่องเดียวกัน ทรงมีรับสั่งกับบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 ว่า

...เมื่อมีพื้นฐานหนาแน่นบริบูรณ์พร้อมแล้ว ก็ตั้งตนพัฒนางานต่อไป ให้เป็นการทำไปพัฒนาไปและปรับปรุงไป...

7.  การส่งเสริมหรือสร้างเสริมสิ่งที่ชาวชนบทขาดแคลน และเป็นความต้องการอย่างสำคัญ คือ ความรู้ ด้านต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า ชาวชนบทควรจะมีความรู้ในเรื่องของการทำมาหากิน การทำการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยทรงเน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องมี ตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ในเรื่องการพึ่งตนเอง ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ราษฎรในชนบทได้มีโอกาสได้รู้ได้เห็นถึงตัวอย่างของความสำเร็จนี้ และนำไปปฏิบัติได้เองซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ตัวอย่างของความสำเร็จทั้งหลายได้กระจายไปสู่ท้องถิ่นต่างๆ ทั่งประเทศ วิธีการให้ความรู้แก่ประชาชนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในกรพัฒนาว่า

...การใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยในงานต่างๆ นั้น ว่าโดยหลักการควรจะให้ผลมาก ในเรื่องประสิทธาพ การประหยัดและการทุ่มแรงงาน แต่อย่างไรก็ตามก็คงยังจะต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นเป็นพื้นฐานและส่วนประกอบของงานที่ทำด้วย อย่างในประเทศของเราประชาชนทำมาหาเลี้ยงตัวด้วยการกสิกรรมและการลงแรงทำงานเป็นพื้น การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูปหรือเต็มขนาดในงานอาชีพหลักของประเทศย่อมจะมีปัญหา เช่นอาจทำให้ต้องลงทุนมากมายสิ้นเปลืองเกินกว่าเหตุ หรืออาจก่อให้เกิดการว่างงานอย่างรุนแรงขึ้น เป็นต้น ผลที่เกิดก็จะพลาดเป้าหมายไปห่างไกลและกลับกลายเป็นผลเสีย ดังนั้น จึงต้องมีความระมัดระวังมากในการใช้เทคโนโลยีที่ปฏิบติงานคือ ควรพยายามใช้ให้พอเหมาะพอดีแก่สถาวะของบ้านเมืองและการทำกินของราษฎรเพื่อให้เกิดประสิทธิผลด้วย เกิดความประหยัดอย่างแท้จริงด้วย...

8.  ทรงนำความรู้ในด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมเข้าไปถึงมือชาวชนบทอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยทรงมุ่งเน้นให้เป็นขบวนการเดียวกับที่เป็นเทคโนโลยีทางการผลิตที่ชาวบ้านสามารถรับไปและสามารถไปปฏิบัติได้ผลจริง

ในทางปฏิบัติเรื่องนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกใช้เทคนิควิธีการต่างๆ หลายประการเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายที่ทรงมุ่งหวังดังกล่าวนั้นมีหลายแนวทาง เช่น

ก. การรวมกลุ่มประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาหลักของชุมชนชนบท  ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนาพึ่งตนเอง โดยเฉพาะการรวมตัวกันเป็นรูปของสหกรณ์ ดังนั้น ในทุกพื้นที่ที่เสด็จพระราชดำเนิน และมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นมาไม่ว่าลักษณะใด จะทรงเน้นเสมอถึงความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวกันในรูปแบบต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ชุมชนเผชิญอยู่รวมกัน หรือเพื่อให้การทำมาหากินของชุมชยโดยส่วนรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด จนเห็นได้ว่า กลุ่มสหกรณ์ในโครงการพระราชดำริที่ประสบความสำเร็จหลายโครงการนั้นพัฒนาขึ้นมาจากการรวมตัวกันของราษฎรกลุ่มเล็กๆ เช่น สหกรณ์หุบกระพงเกิดจากกลุ่มเกษตรกรที่ทำสวนผักในย่านนั้นเป็นต้น

ข.  การส่งเสริมโดยกระตุ้นผู้นำชุมชนให้เป็นผู้นำในการพัฒนาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทรงใช้ในบางพื้นที่ตามความเหมาะสม ทรงพิจารณาผู้นำโดยเน้นในด้านคุณธรรม ความโอบอ้อมอารี ความเป็นคนในท้องถิ่นและรักท้องถิ่น จากนั้นทรงอาศัยโครงสร้างสังคมไทย โดยเฉพาะระบบอุปถัมภ์กระตุ้นให้ผู้นำชุมชนที่มักจะมีฐานะดี ให้เป็นผู้นำในการสร้างสรรค์ความเจริญให้กับท้องถิ่น โดยชาวบ้านที่ยากจนให้ความสนับสนุนร่วมมือ ซึ่งในที่สุดแล้วผลแห่งความเจริญที่เกิดขึ้นจะตกแก่ชาวบ้านในชุมชนนั้นทุกคน ดังพระราชดำริที่ว่า

...ในการทำงานทั้งปวงนั้น ทุกคนจะต้องตั้งใจจริง อดทนและขยันหมั่นเพียร ซึ่งตรงเห็นอกเห็นใจกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีเมตตามุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ยึดมั่นในสามัคคีธรรม ความสุจริตทั้งในความคิดและการกระทำ ถือเอาความมั่นคงและประโยชน์ร่วมกันเป็นจุดหมายสำคัญ...

ค.  การส่งเสริมการพัฒนาเพื่อพึ่งตนเองนั้นจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อนที่จะให้เกิดผลในทางความเจริญอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่มีพระราชดำริอยู่เสมอ คือ ชุมชนจะต้องพึ่งตนเองได้ในเรื่องอาหารก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงค่อยก้าวไปสู่การพัฒนาในเรื่องอื่นๆ การขยายการผลิตเพื่อการค้าใดๆ ก็ตาม ทรงมีข้อสังเกตเกี่ยวกับความพร้อมในด้านการตลาด โดยเฉพาะในด้านความรู้เบื้องตนเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีธุรกิจการเกษตรของชาวบ้านอย่างง่ายๆ อีกด้วย ซึ่งในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริแก่กรรมการ กปร. และคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพราชดำริ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ณ ศาลาดุสิดาลัย ความตอนหนึ่งว่า

...ในด้านหนึ่งที่ไม่เคยคิดกัน ในด้านการพัฒนา เช่น เจ้าหน้าที่บัญชี ถ้าหากว่าทำการเพาะปลูก ชาวบ้านทำการเพาะปลูก เมื่อมีผลแล้วเขาบริโภคเองส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ขายเพื่อให้ได้ มีรายได้ แล้วก็เมื่อมีรายได้แล้วก็ไปซื้อของที่จำเป็นและสิ่งที่จะมาเกื้อกูลการอาชีพของตัว อย่างนี้ไม่ค่อยมีการศึกษากัน เมื่อผลิตอะไรแล้วก็จำหน่ายไปก็มีรายได้ก็ต้องทำบัญชี ชาวบ้านทำบัญชีบางที่ไม่ค่อยถูก...

 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : มรรควิธีที่ช่วยเหลือให้เกษตรกรได้บรรลุผลในการพึ่งตนเอง

1.  ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ :  ความหมายและแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ด้วยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งหวังจะพัฒนาประชาชนในชนบทให้สามารถมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในระดับ พออยู่ พอกิน เสียก่อน จากนั้นก็จะเพิ่มระดับการพึ่งตนเองได้เป็นลำดับ

แนวพระราชดำริเพื่อจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งหลายนี้อาจกล่าวได้ว่าเพื่อสนองพระราโชบายในการเสริมสร้างการเรียนรู้แก่ประชาชนในชนบท เพื่อจักได้พึ่งตนเองได้โดยแก้ กล่าวคือ

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชประสงค์ในการจัดตั้งนั้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชาธิบายว่า ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ   มีลักษณะดังนี้

...เป็นศูนย์ หรือเป็นที่แห่งหนึ่งที่รวมการศึกษาเพื่อดูว่า ทำอย่างไร จะพัฒนาได้ผล...

นอกจากนี้ได้พระราชทานพระราชดำรัสเพิ่มเติมว่า

...ศูนย์ศึกษานี้เป็นคล้ายๆ พิพิธภัณฑ์ใหญ่ที่มีชีวิตที่ใครๆ จะมาดูว่าทำอะไรกัน...

สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนั้น มีพระราชดำรัสว่า

 

เพื่อเป็นแหล่งสาธิตให้เกษตรกรได้เรียนรู้

...ที่ตั้งศูนย์ศึกษานี้เพื่อจุดประสงค์สำคัญยิ่ง 2 ทาง คือ ทางหนึ่งก็คือเป็นการ

สาธิตการพัฒนาเบ็ดเสร็จ  หมายถึงว่าทุกสิ่งทุกด้านของชีวิตประชาชน ที่จะหาเลี้ยงชีพในท้องที่จะทำอย่างไรและได้เห็นวิทยาการแผนใหม่จะสามารถที่จะหาดูวิธีการจะทำมาหากินให้มีประสิทธิภาพ...

เป็นแหล่งค้นคว้าวิจัยทดลอง

...จุดประสงค์ของศูนย์ศึกษาฯ  ก็เป็นสถานที่สำหรับค้นคว้าวิจัยในท้องที่

เพราะว่าแต่ละท้องที่สภาพฝนฟ้าอากาศและประชาชนในท้องที่ต่างๆ กัน ก็มีลักษณะแตกต่างกันมากเหมือนกัน...

เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็นในการพัฒนา

...กรมกองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนทุกด้านของการพัฒนาชีวิตของ

ประชาชนได้สามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นปรองดองกัน ประสานงานกัน...

เป็นศูนย์รวมบริการประชาชนทางด้านความรู้และวิชาการ

...ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเป็นศูนย์ที่รวบรวมกำลังทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ทุกกรม

กองทั้งในด้านเกษตรหรือในด้านสังคม ทั้งในด้านหางานการส่งเสริมการศึกษามาอยู่ด้วยกัน ก็หมายความว่าประชาชนซึ่งจะต้องใช้วิชาการทั้งหลายก็สามารถที่จะมาดู ส่วนเจ้าหน้าที่จะให้ความอนุเคราะห์แก่ประชาชนก็มาอยู่พร้อมกันในที่เดียวกัน ซึ่งเป็นสองด้านก็หมายถึงว่าที่สำคัญปลายทางคือ ประชาชนจะได้รับประโยชน์..

จึงอาจกล่าวได้ว่าศูนยืศึกษาการพัฒนา คือ แหล่งค้นคว้าหาความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ของเกษตรกร  สืบเนื่องจากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งหวังพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้สามารถช่วยเหลือพึ่งตนเองได้ โดยวิธีการหนึ่งที่ทรงเห็นว่าได้เรียนรู้และพบเห็นด้วยประสบการณ์ตนเองนั้น เป็นการสร้างการเรียนรู้ในการพัฒนาชนบท ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานพระราชดำริให้มีศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากระราชดำริ โดยทำหน้าที่เสมือน พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต เพื่อเป็นศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้า ทดลอง วิจัย และแสวงหาแนวทางและวิธีการพัฒนาด้านต่างๆ ที่เหมาะสมสอดคล้องกับภสพแวดล้อมและการประกอบอาชีพของราษฎรที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศนั้นๆและเมื่อค้นพบพิสูจน์ได้ผลแล้ว ก็จะนำผลที่ได้ไป พัฒนา สู่ราษฎรในหมู่บ้านใกล้เคียงจนกระทั่งขยายผลแผ่กระจายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เพื่อให้สำเร็จสูงสุดสู่ราษฎรต่อไป

2.  แนวทางและวัตถุประสงค์ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญมีดังนี้

2.1  การแก้ไขปัญหาตามสภาพความเป็นจริงที่แตกต่างกัน การพัฒนาจะต้องเริ่มต้นจากสภาพความเป็นจริง ศึกษาว่าปัญหาของพื้นที่นั้นคืออะไร และเลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ แปรเปลี่ยนไปตามสภาพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

2.2  การแลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างนักวิชาการ นักปฏิบัติและประชาชน การศึกษาค้นคว้าง ทดลอง วิจัยต่างๆ ที่ได้ผลแล้ว ควรจะนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่จริงได้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาจึงควรเป็นแหล่งผสมผสานวิชาการและการปฏิบัติเป็นแหล่งความรู้ของราษฎร เป็นแหล่งศึกษาทดลองของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางแก้ไขปัญหาระหว่างคน 3 กลุ่ม คือ ราษฎร เจ้าหน้าที่ ซึ่งทหน้าที่พัฒนาส่งเสริมและนักวิชาการ

2.3  การพัฒนาแบบผสมผสาน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาแต่ละแห่งเป็นแบบจำลองของพื้นที่และรูปแบบการพัฒนาที่ควรจะเป็น ในพื้นที่ลักษณะหนึ่งๆ นั้น จะสามารถใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ได้โดยวิธีใดบ้าง มิใช่การพัฒนาเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แต่พยายามใช้ความรู้หลายสาขาที่สุด โดยให้แต่ละสาขาเป็นประโยชน์เกื้อหนุนกับการพัฒนาสาขาอื่นๆ ด้วย

2.4  การประสานงานระหว่างหน่วยราชการ แนวทางการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาทุกแห่ง เน้นการประสานงาน การประสานแผนและการจัดการระหว่าง กรม กอง และส่วนราชการต่างๆ ให้เกิดเป็นจริงขึ้น

2.5  เป็นศูนย์รวมในการให้บริการแก่ประชาชน เพื่อให้ได้รับความสะดวกและประสิทธิภาพในการนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์สูงสุด ตลอดจนได้รับริการจากทางราชการของส่วนราชการต่างๆ ทำให้ประชาชนสามารถดำเนินการได้รวดเร็วประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อราชการนับเป็นการปฏิรูปมิติใหม่ของระบบบริหารราชการแผ่นดินในการบริการของทางราชการแบบใหม่ที่สิ้นสุดตรงจุดเดียว One Stop Service หรือที่เรียกกันว่า การบริการแบบเบ็ดเสร็จ นั่นเอง

3.  ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ความเป็นมาและผลการดำเนินการ ในปัจจุบันมี 6 ศูนย์ กระจายอยู่ในภาคต่างๆ ทั้ง 4 ภาค คือ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา

ประวัติความเป็นมา  เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศาลบวรราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ราษฎรได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน จำนวน 264 ไร่ เมื่อเสด็จฯ ทอดพระเนตรที่ดินดังกล่าว ซึ่งมีสภาพเป็นดินทรายขาดความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ และถ้าปลูกได้ก็เจริญเติบโตไม่ดีไม่สามารถให้ผลผลิตที่มีคุณภาพได้ จึงได้มีพระราชดำริกับเจ้าหน้าที่อำเภอ จังหวัด และหน่วยราชการต่างๆ ให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่นี้ จัดทำเป็นศูนย์ศึกษาด้านเกษตรกรรมและงานศิลปาชีพ เพื่อเป็นแหล่งให้เกษตรกรและผู้สนใจได้เข้าชม ศึกษา ค้นคว้า และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชื่อว่า ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา   กล่าวได้ว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนได้ถือกำเนิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นับเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริแห่งแรก

พื้นที่ดำเนินการ  ในปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ มีพื้นที่ซึ่งราษฎรได้น้อมเกล้าฯถวาย ประมาณ 1,240 ไร่ และพื้นที่ส่วนพระองค์ ที่อยู่ติดกับศูนย์ฯ ซึ่งได้พระราชทานให้เป็นพื้นที่ศึกษาวิจัย และทดสอบการพัฒนาด้านการเกษตรเป็นการสนับสนุนศูนย์ฯ อีกทางหนึ่ง มีเนื้อที่ประมาณ 655 ไร่ รวมพื้นที่ 1,895 ไร่

นอกจากนี้ยังมีศูนย์สาขา ประกอบด้วย

ศูนย์บริการพัฒนาบ้านสร้าง อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี

โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณเขาชะโงก จังหวัดนครนายก

การดำเนินงานของศูนย์ฯ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ดำเนินกิจกรรมใน

การปรับรุงและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติพื้นฐาน เพื่อให้สามารถนำมาใช้ในการประกอบอาชีพการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ได้แก่ การพัฒนาปรับปรุงดิน การใช้วิธีธรรมชาติในการป้องกันศัตรูพืช การศึกษาความเหมาะสมของการใช้ประโยชน์ที่ดินในการปลูกม้ผลต่างๆ การสร้างพันธุ์ลูกผสมสองชั้นในพืชผักรับประทาน การปลูกและบำรุงรักษาป่าเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การส่งเสริมและสาธิตการปลูกไม้ผลและ ขยายพันธุ์ไม้ผล ส่งเสริมการทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ปรับปรุงบำรุงพันธุ์สัตว์ ตลอดจนการจัดตั้งธนาคารโค-กระบือ สาธิตการเลี้ยงปลา ผลิตพันธุ์ปลาและแจกจ่ายพันธุ์ปลา ฝึกอบรมด้านศิลปาชีพ แนะนำส่งเสริมเผยแพร่หลักการและวิธีการสหกรณ์ เป็นต้น

 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

ประวัติความเป็นมา  ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ ตั้งอยู่ในเขตพระราชนิเวศน์มฤคทายวันอันเป็นพื้นที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชโองการประกาศให้เป็นที่หลวงเมื่อ พ.ศ. 2466 และ พ.ศ. 2467 เดิมพื้นที่แห่งนี้มีสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าประเภทเนื้อทรายอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้ชื่อว่า ห้วยทราย ต่อมาราษฎรได้เข้ามาอาศัยทำกิน บุกรุกแผ้วถางป่าประกอบอาชีพตามยถากรรม ภายในเวลา 40 ปี ป่าไม้ได้ถูกทำลายเป็นจำนวนมากทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลและมีปริมาณน้อยลง จนมีลักษณะเป็นพื้นที่อับฝน ดินขาดการบำรุงรักษา จนเกิดความไม่สมดุลตามธรรมชาติ การพังทลายของผิวดินค่อนข้างสูง ประกอบกับราษฎรส่วนใหญ่ปลูกสับปะรดซึ่งต้องใช้สารเคมีมาก ทำให้คุณภาพของดินตกต่ำลงไปอีก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า ...หากปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด...  และเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2526 ได้พระราชทานพระราชดำริกับหม่อมเจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์  ผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้พัฒนาเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้เอนกประสงค์ จัดให้ราษฎรที่ทำกินอยู่เดิมได้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่าไม้ ได้ประโยชน์จากป่าไม้ และไม่ทำลายป่าไม้อีกต่อไป มุ่งหมายที่จะศึกษารูปแบบการพัฒนาเกษตรกรควบคู่ไปกับการปลูกป่า จัดหาแหล่งน้ำศึกษาระบบป้องกันไฟไหม้ป่าแบบ ระบบป่าเปียก ให้ราษฎรสร้างรายได้จากผลิตผลป่าไม้ และปลูกพืชชนิดต่างๆ ควบคู่ไปด้วย และให้ราษฎรที่เข้ามาทำกินโดยมิชอบเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อที่จะได้พระราชทานที่ดินทำกินต่อไป

เมื่อได้พระราชทานพระราชดำริแล้วศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ถือกำเนิด เริ่มดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา

พื้นที่ดำเนินการ พื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ขอบเขตพื้นที่โครงการประมาณ 15,880 ไร่ โดยมีศูนย์สาขาคือ โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 

การดำเนินงานของศูนย์ ได้ดำเนินกิจกรรมด้านการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม เร่งสร้างความสมดุลทางธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเพิมโดยการปลูกป่าไม้ 3 อย่าง คือ ไม้โตเร็ว ไม้ผล และไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีก ได้แก่ การสร้างแนวป้องกันไฟป่าแบบเปียก ศึกษาวิจัยการทำเกษตรแบบผสมผสาน การทำการเกษตรในระบบวนเกษตร ระบบเกษตรธรรมชาติ การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อทรายซึ่งในขณะนี้ได้ทดลองปล่อยเนื้อทราย เก้ง ละอง ละมั่ง กลับคืนสู่สภาพป่าธรรมชาติ เป็นต้น

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ตำบลสานามไชย  อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

ประวัติความเป็นมา  ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2524 ได้พระราชทานพระราชดำริแก่นายบุญนาค สายสว่าง  ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี สรุปได้ว่า ...ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมจัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมง และการเกษตรในเขตพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของจังหวัดจันทบุรี...  โดยพระราชทานเงินที่ราษฎรได้ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสดังกล่าวเป็นทุนเริ่มดำเนินการ และในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2524 ได้พระราชทานพระราชดำริเพิ่มเตอม ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเกี่ยวกับโครงการที่จะจัดทำขึ้นในเขตจังหวัดจันทบุรี สรุปสาระสำคัญได้ว่า ...ให้พิจารณาจัดหาพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรมหรือพื้นที่สาธารณะประโยชน์ เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาเช่นเดียวกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ให้เป็นศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาในเขตที่ดินชายทะเล...   จังหวัดจันทบุรีจึงได้ร่วมหารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและกำหนดพื้นที่บริเวณอ่าวคุ้งกระเบน ตำบลสนามไชย อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เป็นพื้นที่จัดตั้งศูนย์ศึกษาฯ

 

พื้นที่ดำเนินการ  ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ มีพื้นที่โครงการประมาณ 34,299 ไร่

การดำเนินงานของศูนย์ฯ  ดำเนินกิจกรรมในการค้นคว้า ทดลอง และสาธิตการพัฒนาปรับปรุงสภาพแวดล้อมชายฝั่ง ได้แก่  การศึกษาวิจัยวิธีบำบัดน้ำเสียจากบ่อกุ้งกุลาดำ ส่งเสริมการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและรักษาดุลยภาพของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุรักษ์และรวบรวมพันธุ์ไม้ป่าชายเลน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีก เช่น การวิจัยและทดสอบระบบการเกษตรผสมผสาน การส่งเสริมความรู้ในเรื่องของสหกรณ์ จัดอบรมด้านการปศุสัตว์ เป็นต้น

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

บ้านนานกเค้า ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

ประวัติความเป็นมา สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์  องคมนตรี และอธิบดีกรมชลประทาน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรมราชองครักษ์ สวนจิตรลดา ในการนี้ได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาวางโครงการจัดหาน้ำสนับสนุนโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อให้มีการศึกษาทดลองงานพัฒนาการเกษตรต่างๆ ตามความเหมาะสม สำหรับเป็นตัวอย่างให้ราษฎรนำไปปฏิบัติต่อไป เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2526 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ โดยมีหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ เป็นประธาน และวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 ทอดพระเนตรศูนย์ศึกษาฯ แห่งนี้อีกและได้มีพระราชเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2527 เป็นต้นมา

พื้นที่ดำเนินการ  ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ มีพื้นที่โครงการประมาณ 2,300 ไร่

และเขตปริมณฑลเพื่อการพัฒนาป่าไม้ประมาณ 11,000 ไร่

การดำเนินงานของศูนย์ฯ ดำเนินการพัฒนาระบบชลประทาน พัฒนาระบบการ

ปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีผลต่อการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร เช่น การศึกษาทดสอบพันธุ์ข้าวไร่ที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่การศึกษาเกี่ยวกับผลของสารเคมีป้องกันและกำจัดแมลง การจัดระบบเกษตรแบบผสมผสาน เป็นต้น การศึกษาระบบนิเวศน์วิทยาของป่า การพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพดิน การส่งเสริมและพัฒนาด้านปศุสัตว์และประมง 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่

ประวัติความเป็นมา  เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริให้พิจารณาพื้นที่บริเวณป่าขุนแม่กวง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่จัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีพระราชประสงค์ที่จะใช้เป็นศูนย์กลางในการศึกษา ทดลองเพื่อหารูปแบบการพัฒนาต่างๆ ในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำที่เหมาะสมกับพื้นที่บริเวณต้นน้ำลำธารของภาคเหนือ และเผยแพร่ให้ราษฎรนำไปปฏิบัติต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำลำธาร โดยการใช้ระบบชลประทานเข้าเสริมการปลูกป่าไม้ 3 อย่าง และการใช้ลุ่มน้ำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ดครงการและได้พระราชทานพระราชดำริเพิ่มเติม ให้ศูนย์ทำการศึกษาพัฒนาป่าไม้พื้นที่ต้นน้ำลำธารให้ได้ผลอย่างสมบูรณ์เป็นหลัก โดยให้ต้นทางเป็นป่าไม้และปลายทางเป็นการศึกษาการทำประมงตามอ่างเก็บน้ำซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับราษฎรอย่างแท้จริง

พื้นที่ดำเนินการ  ศูนยืศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ มีพื้นที่ดำเนินการอยุ่ในเขต

ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าขุนแม่กวง ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 8,800 ไร่ ภูมิประเทศทั่วไปเป็นป่าเขา ทิศเหนือเป็นป่าไม้เบญจพรรณ พื้นที่ตอนกลางและตอนใต้เป็นป่าที่มีสภาพค่อนข้างเสื่อมโทรม ซึ่งใช้เป็นพื้นที่ในการศึกษาการพัฒนาเกษตรกรรมด้านต่างๆ

นอกจากนี้แล้วศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ยังมีศูนย์สาขา ประกอบด้วย

โครงการศูนย์บริการพัฒนาและขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลอันเนื่องมาจาก

พระราชดำริ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่

2.   โครงการพัฒนาเบ็ดเสร็จลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำปิงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอฮอด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน

3.  โครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด  จังหวัดเชียงใหม่

4.  โครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย

การดำเนินงานของศูนย์ฯ ได้ดำเนินกิจกรรมด้านศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับรูปแบบที่เหมาะสมในการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำลำธารมีการปลูกป่า 3 อย่าง (ไม้เศรษฐกิจ ไม้ผล  และไม่ใช้อสอย) 3 วิธี (โดยการใช้น้ำจากชลประทาน น้ำฝน และฝายเก็บกักน้ำขนาดเล็กตามแนวร่องหุบเขา ซึ่งเรียกว่า Check Dam เพื่อรักษาความชุ่มชื้น) ศึกษาการพัฒนาระบบเกษตรป่าไม้ ศึกษาวิจัยต้นน้ำลำธาร นิเวศวิทยาป่าไม้ การป้องกันไฟป่าแบบเปียก การศึกษา การเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร จัดทำระบบอนุรักษ์และพัฒนาดิน รวมทั้งการศึกษาและพัฒนาเกษตรกรรมต่างๆ การทำปศุสัตว์โคนมสัตว์ปีก  และการเกษตรอุตสาหกรรม

ศูนย์ศึกษการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส

ประวัติความเป็นมา  เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 3 ตุลาคม พ.ศ. 2524 ได้เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรและทอดพระเนตรพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ทำให้ทรงทราบถึงปัญหาว่าสภาพื้นที่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสเป็นที่ลุ่มต่ำมีน้ำขังตลอดปีและมีสภาพเป็นดินพรุ เมื่อระบายน้ำออกแล้วจะแปรสภาพเป็นกรดจัด ทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล จึงได้พระราชทานพระราชดำริกับหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ องคมนตรี และผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสว่า ควรมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาในการศึกษาวิจัยดินพรุ นำผลสำเร็จของโครงการไปเป็นแบบอย่างในการพัฒนาพื้นที่พรุอื่นๆ ต่อไป ต่อมาจึงได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างจังหวัดนราธิวาสและสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)  เพื่อกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง

พื้นที่ดำเนินการ บริเวณที่ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง มีเนื้อที่ประมาณ 510 ไร่ แบ่งออกเป็นอาคารสำนักงานและแปลงสาธิตบนที่ดิน 202 ไร่ และแปลงวิจัยทดทองในพื้นที่พรุ 308 ไร่ อีกทั้งยังมีพื้นที่พรุจังหวัดนราธิวาสเนื้อที่ประมาณ 261,860 ไร่

นอกจากนี้ยังมีศูนย์สาขาอีก ประกอบด้วย

  • โครงการสวนยางเขาตันหยง อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
  • โครงการพัฒนาหมู่บ้านปิแนมูดอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
  • โครงการหมู่บ้านเกษตรปศุสัตว์มูโนะ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

การดำเนินงานของศูนย์ฯ  กิจกรรมที่ศูนย์ได้ดำเนินการ คือ การศึกษาวิจัยและปรับปรุงดินที่มีปัญหาให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อีก เช่น การพัฒนาดินอินทรีย์และดินเปรี้ยวจัด การใช้น้ำจืดชะล้างกรดออกจากดินทดลองเลี้ยงปลาน้ำกร่อยซึ่งในขณะนี้น้ำเปรี้ยวสามารถปรับปรุงเพื่อใช้เลี้ยงปลาได้แล้ว การศึกษาการปลูกไม้โตเร็วในพื้นที่พรุเพื่อประโยชน์ทางอุตสาหกรรม เป็นต้น การพัฒนาระบบปลูกพืชการคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่มีความเหมาะสมในสังคมพืชป่าพรุ การทำสวนยางครบวงจร การปรับปรุงและบำรุงรักษาป่า การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ โครงการผลิตพืชสวนประดับเพื่อศึกษาหาพันธุ์ไม้ดอกและวิธีปลูกที่เหมาะสมในภาคใต้เพื่อแนะนำให้เกษตรกรปลูกต่อไป เช่น สร้อยทอง แกลดิโอลัส เบญจมาศ เฮลิโกเนีย ปทุมมา ซ่อนกลิ่น หน้าวัว ดาวเรือง บานชื่น และแอสเตอร์

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง 6 แห่ง ได้กระทำหน้าที่ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต ดุจดังฟันเฟืองจักรกลสำคัญของการพัฒนาชนบทในประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง จะเห็นได้ว่าแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น แสดงถึงพระปรีชาสามารถอันสูงเลิศที่บ่งบอกถึงพระอัจฉริยภาพเป็นที่ยิ่งว่า ทรงเป็นนักพัฒนาชนบทที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในโลกนี้ทีเดียว

 

แนวพระราชดำริเพื่อพึ่งตนเองของเกษตรกรในชนบทตามหลักการแห่งทฤษฎีการยอมรับนวัตกรรม (Innovation Adoption Theory)

บรรดานักวิชาการด้านการพัฒนาชนบทและผู้ปฏิบัติด้านการพัฒนามักฉงนอยู่เสมอว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้กลยุทธใดในการแนะนำเผยแพร่ประชาชนให้ยอรับแนะพระราชดำริของพระองค์  เพราะในการพัฒนาชนบทตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยนั้น จำต้องยอมรับด้วยความจริงว่ายังไม่บรรลุเป้าหมายสมบูรณ์ดังที่ได้วางไว้ ปัญหาสำคัญที่ยังต้องคาอยู่เหนียวแน่น คือ การยอมรับการพัฒนาจากผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent)

 

เมื่อวิเคราะห์จากแนวคิดของ Everett M. Rogers เกี่ยวกับทฤษฎีการแปรกระจายนวัตกรรม (The Diffusion of Innovation Theory) มีสาระสำคัญว่า การที่บุคคลจะยอมรับแนวคิดการพัฒนาได้นั้น จะต้องมีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมายขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ระบบสังคม ระบบสื่อสารของนวัตกรรม และระยะเวลาการดำเนินการด้วย ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ขั้นตอนการยอมรับของประชาชนในแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวแล้วพบว่าทรงเป็นนักพัฒนาชนบทที่ประสบความสำเร็จยิ่งดังรายละเอียดดังนี้ คือ

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรับไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยให้วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ

 

1.  ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ (Awareness) ในทุกคราเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทุกภูมิภาคต่างๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิ่งที่ควรรับรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดินพังทลาย และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้สามารถกระทำได้ การตัดไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน ได้แก่

 

...ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกันทำได้...

 

2.  ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยินหรือรับฟังโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีนามเรียกขานแปลกหู ชวนฉงนน่าสนใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น  ล้วนชวนเชิญให้ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่พระองค์ก็จะมีพระราชาธิบายแต่ละโครงการอย่างละเอียดเป็นที่เข้าใจง่ายรวดเร็วแก่ประชาชนทั้งประเทศ

 

3.  ในประการต่อมา ทรงให้เวลาในการประเมินค่าหรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติได้ในส่วนของตนเองหรือไม่ ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเองที่ว่า

 

...ขอให้ถือว่าการงานที่จะทำนั้นต้องการเวลาเป็นงานที่มีผู้ดำเนินมาก่อนแล้ว ท่านเป็นผู้ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง จึงต้องมีความอดทนที่จะเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่น ต้องปรองดองกับเขาให้ได้ แม้เห็นว่ามีจุดหนึ่งจุดใดจะต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องค่อยพยามแก้ไขไปตามที่ถูกที่ควร...

 

4.  ในขั้นทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งในบางกรณีหากมีทดลองไม่แน่ชัดก็ทรงมักจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน หากมีผลการทดลองจนแน่พระราชหฤทัยแล้วจึงจะออกไปสู่สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำนั้นได้มีการค้นคว้าหากความเหมาะสมและความเป็นไปได้จนทั่วทั้งประเทศว่าดียิ่ง จึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เป็นต้น

 

5. ชั้นยอมรับ (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้นเมื่อผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่มเวลาการทดลองมาเป็นเวลานานตลอดจนทรงให้ศูนย์ศึกษาพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริและสถานที่อื่น ๆ เป็นแหล่งสาธิตที่ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ดังนั้น แนวพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้ว่าจะได้รับผลดีต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร

 

แนวพระราชดำริทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญา ตรากตรำพระวรกายเพื่อค้นคว้าหาแนวทางการพัฒนาให้พสกนิกรทั้งหลายได้มีความร่มเย็นเป็นสุขสถาพรยั่งยืนนานนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ได้พระราชทานแก่ปวงไทยตลอดเวลา 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์นั้นสมควรอย่างยิ่งที่ทวยราษฎรจักได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทตามที่ทรงแนะนำสั่งสอน อบรมและวางแนวทางไว้เพื่อให้เกิดการอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนเช่นกัน

ที่มา http://www.chaipat.or.th/site_content/70-3/283-self-reliance.html

ความเมตตาที่ชายขอบ

 

พระสันตะปาปาฟรังซิสเชิญชวนเราให้ต้อนรับผู้อพยพ                            เขียนโดย Sue Weishar, Ph.D.

 

ความเมตตาเป็นเรื่องหลักสำหรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตั้งแต่ทรงรับตำแหน่ง พระองค์กล่าวว่า “ความเมตตาเป็นการสื่อสารอันทรงพลังที่สุดของพระเจ้า” “ พี่น้องที่รัก ขอพระเมตตาของพระเจ้าปกคลุมเราไว้...เราจะได้สัมผัสถึงความอ่อนโยนและอ้อมกอดอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ ซึ่งจะทำให้เราเองมีใจเมตตา ทดทน พร้อมให้อภัย และเปี่ยมด้วยความรัก”

ในการประกาศปีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเมตตา พระสันตะปาปาทรงให้ชื่อของสาส์นการประกาศนี้ว่า “พระพักตร์แห่งความเมตตา” ซึ่งพระองค์ได้สรุปภาพรวมของความเชื่อคริสตชนว่า “พระเยซูเจ้าเป็นพระพักตร์แห่งความเมตตาของพระบิดา ...เป็นยาบรรเทาแห่งความเมตตาที่ไปถึงทุกคน เป็นเครื่องหมายว่าพระอาณาจักรพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเราแล้ว” กิจการแห่งความเมตตา จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ความน่าเชื่อถือสำหรับคำสอนของพระศาสนจักร

พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงตระหนักว่า การตกเป็นผู้ด้อยโอกาส การเมินเฉย และพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอก เป็นตัวผลักดันผู้คนไปสู่ชายขอบของสังคม   “ในปีศักดิ์สิทธิ์นี้ ให้พวกเราเปิดใจของเราเพื่อมีประสบการณ์ร่วมกับผู้ที่ต้องอยู่ชายขอบของสังคม เพราะสังคมยุคใหม่นี้ได้ผลักดันพวกเขาออกไป...เปิดตาดูความทุกข์ยากของโลก และบาดแผลของพี่น้องชายหญิง ผู้ซึ่งศักดิ์ศรีของพวกเขาถูกปฏิเสธ และรับรู้ด้วยว่ามันเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องตอบเสียงร้องให้ช่วยของพวกเขา! ให้เรายื่นมือไปช่วยพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้รู้สึกอบอุ่นที่เราอยู่กับพวกเขา ด้วยมิตรภาพและความเป็นพี่น้องกัน  ให้เสียงร้องของพวกเขากลายเป็นเสียงร้องของพวกเราเอง  และเมื่อเราร่วมกัน จะได้สามารถทำลายความเมินเฉย ซึ่งบ่อยครั้งเป็นหน้ากากแอบแฝงความเห็นแก่ตัวและการหน้าไหว้หลังหลอกของพวกเรา”

เมื่อไตร่ตรองในบริบทของสหรัฐ โดยคิดถึงผู้อพยพเป็นล้านๆคนที่อยู่ตามชายขอบสังคมของสหรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต ในขณะที่เศรษฐกิจของเราขึ้นกับแรงงานของพวกเขา  รวมทั้งเรื่อง “สงครามยาเสพติด” ที่ทำลายครอบครัวและชุมชนมากมายจนนับไม่ถ้วน ปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกตั้งทำให้เรากังวลใจที่ต้องเห็นความหลอกลวงและเห็นแก่ตัวของนักการเมือง เป็นเหมือนยาพิษสำหรับเรื่องผู้อพยพ

เมื่อเริ่มการหาเสียงเป็นประธานาธิบดี นายโดนัล ทรัมป์ ตราหน้าผู้อพยพชาวเม็กซิกันที่เป็นฆาตกรข่มขืน เพียงเพื่อให้จำนวนผู้สนับสนุนตนเองเพิ่มขึ้น    นายเท็ด ครูซ พูดถึงเรื่อง “พระกายของพระคริสต์”  ครั้งแล้วครั้งเล่า  เพื่อทำคะแนนสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาประณามผู้สมัครอื่นๆ อย่างรุนแรง ที่สนใจช่วยให้ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารให้ได้รับสิทธิอย่างถูกกฎหมาย     หลังการก่อการร้ายที่ปารีส ผู้ว่าการรัฐมากว่า 30 คน ต่อต้านการรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเข้ามาอยู่ในสหรัฐ  น่าเศร้าใจ ที่ทัศนคติและนโยบายแข็งกระด้างต่อผู้อพยพและผู้ลี้ภัยนั้นอยู่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศเรา

ปี 1798 มีการออกบทบัญญัติต่อต้านคนต่างด้าว เนื่องจากกลุ่มสมาพันธรัฐนิยมกลัวว่า ฝรั่งเศสและกลุ่มคนเห็นใจผู้อพยพจะคุกคามที่ส่วนบุคคลและความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดี เพื่อเนรเทศคนต่างชาติที่คิดว่าจะเป็นอันตรายได้  - ในปี 1830-1840 ผู้อพยพชาวเยอรมันและชาวไอริชจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวเพราะการต่อต้านอย่างรุนแรง  – ในปี 1842 ที่อารามซิสเตอร์คณะอุร์สุลิน ในชาร์เลสทาวน์ เกิดไฟไหม้ระหว่างบูชามิสซา และในปี 1844 มี 30 คนเสียชีวิตในการจลาจลต่อต้านคาทอลิก ที่ฟิลาเดลเฟีย  - ปี 1891 บริษัทแห่งหนี่งได้จ้างคนงานชาวรัสเซียเชื้อสายยิวไปทำงานในโรงสีที่นิวเจอร์ซี่ ทำให้คนในท้องที่ 500 คน บุกเข้าไปขับไล่ชาวยิวด้วยความไม่พอใจ  - ตอนต้นปี 1830 ผู้อพยพชาวไอริช 8,000 - 20,000 คน ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตด้วยโรคไข้เหลือง อหิวาตกโรค และมาลาเรีย ในขณะเตรียมหนองน้ำเพื่อขุดคลองเป็นอ่างน้ำแห่งใหม่ ในนิวออร์ลีนส์ หลายคนตายขณะทำงาน และศพถูกผลักไปข้างๆ แล้วฝังไว้ในทำนบกั้นคลอง  - ปี 1882 แรงงานชาวจีนอพยพถูกปฏิเสธ ไม่ให้เข้าสหรัฐ  - ลูกหลานผู้ลี้ภัยชาวแอฟริกาไม่มีความแน่นอนว่าจะได้สัญชาติสหรัฐหรือไม่ จนกระทั่งมีการแก้ไขบทบัญญัติครั้งที่ 14 ในปี 1868

พระสันตะปาฟรังซิสทรงต้องการให้ทุกคนเอาใจใส่ต่อเสียงเรียกของพระคริสตเจ้า ให้แสดงความรักความเมตตาต่อผู้อพยพและผู้ลี้ภัย  จึงทรงเรียกร้องให้ทุกๆ วัดในยุโรปรับดูแลครอบครัวผู้ลี้ภัยวัดละครอบครัว รวมทั้งวัดของวาติกัน 2 แห่งด้วย   หลังจากเสด็จเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศกรีซ เมื่อเดือนเมษายน พระองค์เองได้นำผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 3 ครอบครัว กลับไปอยู่ในความดูแลที่วาติกัน

ในโอกาสวันผู้อพยพและผู้ลี้ภัยโลก ปี 2016 พระสันตะปาปา ได้ต้อนรับผู้อพยพมากกว่า 6,000 คน ที่มาชุมนุมกันที่ลานหน้าพระวิหารนักบุญเปโตร พระองค์กล่าวว่า “หัวใจของพระวรสารแห่งพระเมตตา คือ การพบปะและการยอมรับซึ่งกันและกัน เป็นการสานสัมพันธ์เข้ากับการพบและการยอมรับของพระเจ้า” “ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยเป็นพี่น้องชายหญิงของเรา ผู้กำลังแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า  ผู้ซึ่งต้องได้รับการปกป้องศักดิ์ศรี และมีความสามารถที่จะร่วมในการพัฒนาและสวัสดิภาพได้”  พระองค์ยังทรงให้กำลังใจผู้อพยพและผู้ลี้ภัย ไม่ให้สิ้นหวังหรือหมดความยินดีในพระเมตตาของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในบรรดาผู้คนที่ได้พบระหว่างการเดินทางมา  พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า การอพยพคือความเป็นจริง ที่เราต้องให้ความสำคัญในการเรียกร้องให้มีโครงการศึกษาและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

บางทีสหรัฐคงได้ยินคำแนะนำนี้ของพระสันตะปาปา  จึงได้ให้งบประมาณในปี 2016 นี้ จำนวน 750 ล้าน ดอลลาร์ เพื่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรง พัฒนาการบริหารจัดการ และการขาดแคลนโอกาสทางเศรษฐกิจ สำหรับประเทศเอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส อันเป็นสาเหตุของการอพยพ    สำนักงานวอชิงตันเพื่ออเมริกาใต้ ให้ความเห็นว่า มันเป็นสัญญาณที่ดี ที่มีการให้ความช่วยเหลือมากขึ้นในเขตภูมิภาคนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพราะประเทศที่จะได้รับการช่วยเหลือ ต้องแสดงความตั้งใจอย่างจริงจัง ในการบังคับใช้กฎหมาย แก้ปัญหาความยากจน การทุจริต และความไม่เสมอภาค ก่อนที่จะได้รับทุนช่วยเหลือ

 

เรียบเรียงจาก “Mercy at the Margins”,  Just South Quarterly Magazine (Spring 2016)

Jesuit Social Research Institute, pages 2 and 8.

 

รวบรวมโดย ดินเหนียว

 

การน้อมนำแนว"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"มาประยุกต์ใช้ในชีวิตและการงาน

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

ท่านและผม เป็นคนไทยที่โชคดีที่สุดในโลกนี้แล้ว เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ท่านรักประชาชนของท่าน โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน พระองค์ท่านต้องทำงานมาตลอดเพื่อให้เกิดความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฎรของท่าน ผมได้รับการศึกษามามากพอสมควร มีโอกาสใรการเรียนรู้ต่างๆมากกว่าคนอื่นๆในเรื่องที่พระองค์ท่าน ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ที่เรารับรู้ได้อย่างชัดเจนก็คือเรื่องของ"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"  

และผมก็เป็นหนึ่งของคนไทยมากกว่า 60 ล้านคน ที่ได้เรียนรู้ทฤษฎีนี้ เรารู้อย่างเดียวนั้นจะไม่สามารถทำให้เกิดประโยชนย?ต่อตนเองและประเทศชาติเลย เราต้องน้อมนำแนว"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"มาประยุกต์ใช้ในชีวิตและการงานของตนเองให้มากที่สุด ก่อนอื่นผมอยากนำบทความต่างๆที่เป็นความรู้มาแบ่งปันให้คนไทยได้อ่าน จะได้มีความเข้าใจมากขึ้น

"..ผมคิดว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่สิ่งที่พระราชทานมา และบอกให้เราปิดบ้านตัวเองนะ อย่าไปคบกับใคร ไม่ใช่บอกให้เราบอกว่า จนไว้ดี อย่าไปรวย ไม่ใช่ แต่ผมคิดว่าพื้นฐานจริงๆ แล้วก็คือ ต้องมีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต ต้องอดทน ต้องขยันหมั่นเพียร และอันสุดท้าย ต้องมีวิชาการ วิชาความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม..”
        นั่นเป็นการกล่าวทิ้งท้ายของน.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรีในการแสดงปาฐกถาพิเศษ ในพิธีเปิด ‘ชมรมเศรษฐธรรม’ ของสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ณ วังเทวเวสม์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
       

ในปาฐกถาครั้งนั้น องคมนตรีท่านนี้ก็ได้กล่าวในตอนต้นว่า ยังมีคนที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
        “หลายคนหาว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เมื่ออ่านปั๊บ...ไม่อยากให้คนรวย อยากให้คนจนไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เลย หรือเข้าใจว่าเหมาะสำหรับชาวไร่ ชาวนา เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่อีกเหมือน กัน” น.พ.เกษม กล่าวย้ำ
       

จะเห็นได้ว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาเป็น หลักเป็นแนวทางสำหรับการดำเนินชีวิตของคนทุกระดับชั้น และการบริหารองค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชนทุก ระดับทุกขนาด         นั่นคือใช้กับคนในสังคม และวงการธุรกิจ แม้ไม่ใช่คน ร่ำรวยก็สามารถดำเนินชีวิตด้วย‘ทางสายกลาง’ ที่มีความมั่นคงได้ หรือเป็นผู้มั่งคั่ง ก็ร่ำรวยอย่างมีสติ รวยอย่างมีคุณค่า มีประโยชน์สำหรับสังคม และประเทศชาติ

3 ห่วง 2 เงื่อนไข
        เพราะหลักการของ ‘ความพอเพียง’ ที่ยึดหลัก พอประมาณมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันความไม่แน่นอน 3 หลักที่ว่านี้ เสมือนห่วงสัญลักษณ์ ที่เราเคยเห็นในกีฬาโอลิมปิก 3 ห่วงที่ต้องสอดคล้องกันไป
        ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนของ 3 ห่วงดังกล่าว ก็มีเงื่อนไขความรู้ (คือ รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) และเงื่อนไขคุณธรรม (คือ ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งปัน)
        เมื่อเป็นดังนี้ได้ก็จะนำไปสู่การมีชีวิต เศรษฐกิจ และสังคม ที่สมดุล มั่นคง และยั่งยืน

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูงที่มีการแข่งขันสูง

ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง อธิบายถึงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ว่า เป็นการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบละคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรม เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน ส่วนเงื่อนไขคุณธรรม คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ ตลอดเวลาที่ประยุกต์ใช้ปรัชญ

อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่นได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต

ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวว่า "หลาย ๆ คนกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนจน ซึ่งเป็นการปรับตัวเข้าสู่คุณภาพ"และ "การลงมือทำด้วยความมีเหตุมีผล เป็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง"

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ประกอบไปด้วย ๓ หลักการ คือ

๑. ความพอประมาณ คือ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

๒. ความมีเหตุผล คือ การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ

๓. การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว

ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยเงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิต และ เงื่อนไขคุณธรรม คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร

จุดเริ่มต้นของแนวคิดปรัชญาความพอเพียง มาจากหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ “หลักการทรงงาน ๒๓ ข้อ” ซึ่งพระองค์ได้ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเสมอมา และได้ทรงพระราชทานเป็นแนวทางให้กับพสกนิกร อาทิ “ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ” โดยศึกษารายละเอียดครบถ้วนอย่างเป็นระบบ ทั้งจากเอกสารและสอบถามผู้รู้, “ทำตามลำดับขั้น” โดยเริ่มต้นทำงานจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดก่อน โดยเรื่องความพอเพียงนั้นปรากฏอยู่ใน ๓ หลักการ คือ

๑. การพึ่งตนเอง คือ การอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อมและสามารถพึ่งตนเองได้

๒. พออยู่พอกิน คือ การมีชีวิตอยู่ในขั้นของความพอดี

๓. เศรษฐกิจพอเพียง คือ การดำเนินไปในทางสายกลาง ด้วยความพอประมาณและความมีเหตุผล

ซึ่งอาจจดจำง่ายๆ ในชื่อ ๓ พ. คือ “พึ่งตนเอง” “พออยู่พอกิน” “พอเพียง”

๓ หลักการสั้นๆ ง่ายๆ แห่งความพอเพียง ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ที่ไม่ได้มีเพียงเรื่องของหลักการด้านงานเกษตร อาทิ การทำไร่นาสวนผสม หรือการพัฒนาชุมชนเพียงเท่านั้น แต่หลักการ ๓ พ. ยังเป็นแนวทางที่นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกเรื่อง และเข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม ซึ่งการใช้ชีวิตด้วยการพึ่งตนเอง พออยู่พอกิน และพอเพียง ตามรอยที่พ่อนำทางไว้ ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติตามได้พบกับความสุขที่แท้จริง และไม่หวาดหวั่นกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก เพราะเมื่อเข้าใจถึงแก่นแท้ของคำว่าพอแล้ว ไม่ว่าโลกจะโลกาภิวัตน์ไปมากเพียงใด ก็ไม่ได้ทำให้ความมั่นคงผาสุก ลดน้อยลง

เอนทรีนี้เป็นการให้ความรู้ เพื่อให้เกิดแนวคิดกับเราให้มากขึ้น ขอให้ท่านพยาอ่านแล้วทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ความรู้ทำให้เรามีสติ มีปัญญา จะเป็นเครื่องมือช่วยให้เราเกิดความไม่ประมาท 

ผมหวังว่าผู้ที่แวะเข้ามาอ่านจะเกิดปัญญา มีสติ ด้วยการน้อมนำแนว"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"มาประยุกต์ใช้ในชีวิตและการงาน

จัดทำและเรียบเรียงโดย อาจารย์ป๋อง(นายธีธัช บำรุงทรัพย์) โทร 089-827-2715 ธีธัชฟาร์ม 

Facebook: https://www.facebook.com/Earthwormsfarm
Website: https://teetatfarm.wordpress.com/ 
Website: http://www.youtube.com/teetatfarm 

ที่มา http://oknation.nationtv.tv/blog/teetatfarm/2013/08/23/entry-1

 

     

 

 

 

 --------------------------------------------------------

 

  

  1. คลิป1
  2. คลิป2
  3. คลิป3
  4. คลิป4
  5. Fratelli Tutti

 

  

ดูเพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมได้ที่ช่อง YOUTUBE  caritas bangkok

 

 

  

  

ดูเพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมได้ที่ช่อง YOUTUBE  caritas bangkok

 

 

15 มกราคม 2567 งานสิ่งแวดล้อมศึกษา "เลาดาโตซี ปีที่ 2" ณ โรงเรียนเซนต์เทเรซา หนองจอก

 ดูเพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมได้ที่ช่อง YOUTUBE  caritas bangkok

 

  

ดูเพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมได้ที่ช่อง YOUTUBE  caritas bangkok

Fratelli Tutti ความสุขแท้แห่งสหัสวรรษที่3 (บทที่ 1-8)

บรรยายโดย คุณพ่อ ทัศนุ หัตถการกุล

 

 ตอนที่ 1

 

  ตอนที่ 2  | ตอนที่ 3  | ตอนที่ 4 | ตอนที่ 5 | ตอนที่ 6 | ตอนที่ 7 | ตอนที่ 8

 

 

 ดูเพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมได้ที่ช่อง YOUTUBE  caritas bangkok

และช่อง YOUTUBE Thomas The Apostle church Bangkok

next
prev